สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable) เป็นตัวกลางของสัญญาณแสงชนิดหนึ่งที่ทำมาจากแก้วซึ่งมีความบริสุทธิ์สูงมาก โดยมีคุณสมบัติเด่นในการนำสัญญาณแสงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ โดยมีการสูญเสียของสัญญาณแสงน้อยมาก ถ้าเทียบกับสายแบบทองแดงมากๆ ซึ่งสายใยแก้วนำแสงนั้นประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วนคือ แกน (Core) , แคลดดิง (Cladding) และ ส่วนที่ห่อหุ้ม (Protective coating) นั่นเอง เรามาดูคุณสมบัติต่างๆแบบละเอียดๆของสายใยแก้วนำแสงกันครับ
สายใยแก้วนำแสงสามารถแบ่งตามความสามารถในการนำแสงออกได้เป็น 2 ชนิด คือ แบบ Single-mode (SM) และแบบ Multimode (MM)
สายใยแก้วนำแสงแบบ Single Mode
สายใยแก้วนำแสงแบบ Single Mode เป็นการใช้ตัวนำแสงที่บีบลำแสงให้พุ่งตรงไปตามท่อแก้ว โดยมีการกระจายแสงออกทางด้านข้างน้อยที่สุด เพราะจะทำให้กำลังสูญเสียทางแสงน้อยที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปนิยมใช้แบบระยะทางไกล ๆ เช่น เดินทางระหว่างประเทศ ระหว่างเมือง มักใช้แบบซิงเกิลโหมด
สายใยแก้วนำแสงแบบ Multi Mode
สายใยแก้วนำแสงแบบ Multi Mode เป็นสายใยแก้วนำแสงที่มีลักษณะการกระจายแสงออกด้านข้างได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างให้มีดัชนีหักเหของแสงกับอุปกรณ์ฉาบผิวให้สะท้อนกลับหมด โดยทั่วไปนั้นแบ่งออกได้อยู่ 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1. แบบ Grade Index เป็นการให้ดัชนีหักเหของแสงมีลักษณะทำให้แสงเลี้ยวเบนทีละน้อย
2. แบบ Step Index เป็นการให้แสงสะท้อนโดยไม่ปรับคุณสมบัติของแท่งแก้วให้แสงค่อยเลี้ยวเบน
ส่วนใหญ่ปัจจุบันสายใยแก้วนำแสงที่ใช้ในเครือข่าย Lan นั้นจะใช้แบบ Multi Mode โดยเป็นขนาด 62.5/125 หรือ 50/125 ไมโครเมตร โดยจากคุณสมบัติแล้วนั้น สายใยแก้วนำแสงแบบ Step Index มีการสูญเสียสัญญาณสูงกว่าแบบ Grade Index แน่นอนครับ